7 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ หมอ – คนไข้
ค่านิยมของคนไทยค่อนข้างให้ความเคารพนับถือและเกรงใจต่อผู้ใหญ่ และผู้มีความรู้ ในอดีตผู้คนฝากความไว้ใจเชื่อถือและพึ่งพาต่อบุคคลในอาชีพหรือสถานะที่อาจถือเป็นเสาหลักของความเคารพและเชื่อใจ คือ ครู, พระ, หมอ แต่อย่างที่เห็นๆ กันว่าในปัจจุบันสถานการณ์กลับมิได้เป็นอย่างในอดีตอีกต่อไป เราพบเห็นวิกฤตการณ์ความเสื่อมเสียในอาชีพต่างๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนต่างๆ จนนำไปสู่สิ่งที่อาจเรียกว่า วิกฤตความศรัทธา ต่อวงการวิชาชีพต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่อยู่ในอาชีพทรงเกียรติในสังคมไทย อย่างครู พระ และหมอ
อาชีพหมออาจเป็นอาชีพสุดท้ายแล้วสำหรับสังคมไทยยุคปัจจุบันที่สังคมฝากความไว้วางใจเชื่อถือในจริยธรรม อาชีพที่ผู้คนเรียกขานว่า“คุณ” หมอ อาชีพที่เด็กๆ ใฝ่ฝันอยากจะเป็น อาชีพที่คนเก่งๆ มักจะอยากเข้าเรียนจบมาเป็นหมอ และคงเป็นไม่กี่อาชีพหรอกที่อยู่ในธุรกิจบริการที่เวลาลูกค้ามาอุดหนุนใช้บริการ แถมลูกค้าจะต้องเป็นฝ่ายยกมือไหว้ทั้งเมื่อยามเจอกันและยามจากกัน
อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์-ผู้ป่วย ได้เปรียบรูปแบบจากความสัมพันธ์แบบต้องพึ่งพาในอดีต มาเป็นความสัมพันธ์แบบผู้ให้บริการ-ผู้รับบริการ หรืออาจมีความเป็นธุรกิจมากขึ้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เรามักได้พบเห็น ไม่เข้าใจ จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วย จนกระทั่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่ง หรือคดีอาญา ทำให้หมอต้องติดคุกกันมาแล้ว
ความที่แพทย์อาจถือเป็นอาชีพพิเศษ ที่ผู้คนและสังคมได้ตั้งความคาดหวังไว้สูงกว่ามาตรฐานของคนทั่วไป และเลยลืมไปว่าหมอก็คือคนธรรมดา เป็นลูกชาวบ้านบ้าง ลูกเจ๊กลูกจีน เหมือนกับเราๆ ท่านๆ นั่นเอง บทความตอนนี้ จึงอยากถ่ายทอดแง่มุมของแพทย์ที่ผู้คนมีความรับรู้อีกแบบหรืออาจมีความเข้าใจผิดในตัวหมอมาโดยตลอด
1. หมอเลี้ยงไข้หรือเปล่าเนี่ย?
รักษากับหมอคนนี้มานานไม่หายสักที หมอเลี้ยงไข้ไข้ไม่ยอมรักษาให้หายเพราะอยากได้เงินของคนไข้ อยากให้คนไข้รักษากันไปนานๆหรือไม่.. โรคบางอย่างเป็นโรคเรื้อรัง รักษาอย่างไรก็ไม่มีวันหายทั้งโรคเบาหวาน ความดัน โรคตับแข็ง โรคไตจิปาถะ หมอเทวดาก็ยังรักษาไม่หาย แค่อาจควบคุมทำให้อาการทุเลาลงได้ แต่ต้องติดตามดูแลกันไปตลอด บางช่วงที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่หมอกลับต้องติดตามคอยเฝ้าระวังมิให้มีภาวะแทรกซ้อนตามมา การที่หมอบางคนมีปัญหาในการพูดคุยสื่อสารอาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดได้ว่า “หมอเลี้ยงไข้หรือเปล่า?” แน่นอนว่าหมอส่วนใหญ่ที่เปิดคลินิกหรือทำงานในระบบเอกชน อยากให้มีคนไข้เยอะๆ แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีหมอคนไหนจะรักษาโรคไม่ยอมหาย เพื่อจะได้เงินจากการจ่ายยา หรือรักษาคนไข้นานๆ.. เป็นความภูมิใจมากกว่า ถ้าเรารักษาแล้วคนไข้หายจากโรคอย่างเด็ดขาดหรือมีอาการดีขึ้นในเร็ววัน
2. หมอจ่ายยาเยอะ อยากขายยาหรือเปล่า?
ขอยืนยันว่ามีหมอที่ทำแบบนี้จริงๆ แต่อยากชี้แจงให้กับหมอส่วนใหญ่ว่าบางครั้งการใช้ยาบางประเภทจำเป็นต้องให้ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1- 3 สัปดาห์ ครั้นจะให้ยาน้อยกว่านั้นก็เกรงว่าจะทำให้เชื้อโรคไม่หายขาด เดี๋ยวคนไข้จะหาว่าเลี้ยงไข้อีก และด้วยเหตุที่ยาหลายชนิดในปัจจุบันมีประสิทธิภาพดีขึ้นมาก หมอบางคนก็มักจะจ่ายยาตามอาการมากมายแก่คนไข้ด้วยความหวังดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม เราควรสอบถามหมอหรือเภสัชกรผู้จ่ายยา ก่อนที่เราจะรับยาทุกครั้งว่า ยาที่เราได้รับต่อไปนี้ไม่เกินความจำเป็นจริงๆ นะ
3. หมอคนนี้จ่ายยาอ่อนไป รักษาแล้วไม่หาย
ต้องบอกว่ายายิ่งแรง โอกาสเกิดผลข้างเคียงก็ยิ่งมาก โอกาสเกิดการดื้อยาก็ยิ่งสูง โดยเฉพาะยากลุ่มปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) บางครั้งคนไข้รู้สึกว่าการกินยาได้ผลดีสู้กับการฉีดยาไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นความจริงสำหรับยาบางประเภทที่อาจถูกรบกวนด้วยกรดสารบางอย่างในกระเพาะหรือทางเดินอาหารหรืออาจเป็นเพราะยากิน อาจมีการผสมเม็ดยาหรือแคปซูลไม่ได้มาตรฐานเพียงพอทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเพียงพอ แค่หากเราสามารถรับประทานได้ตามปกติ ไม่มีอาการ คลื่นไส้อาเจียน หรือไม่มีความผิดปกติของทางเดินอาหาร ก็ใช้ยาชนิดรับประทานหรือยากินก็ได้ผลก็จะได้ผลเท่าเทียมกับยาฉีดนั่นเอง และเราต้องไม่ลืมว่ายาบางชนิดก็ไม่สามารถผลิตออกมาในรูปแบบยาฉีด หรือถึงแม้ว่ามีก็อาจมีราคาสูงมากกว่ามาก และที่สำคัญ การฉีดยาไม่ว่าจะเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือด ก็มีโอกาสเกิดการแพ้ยาเป็นอันตรายได้มากกว่า
4. อยากตรวจกับหมอใหญ่มากกว่า
บางทีเราเจอหมอหน้าเด็กๆ รักษาด้วยแล้วรู้สึกกังวล เพิ่งจบมาจะมีความรู้หรือมีประสบการณ์หรือไม่ เราควรทราบว่าความรู้เกี่ยวกับโรคและการรักษากว่า 80% หมอเกือบทุกคนไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าก็รู้เหมือนๆ กัน ไม่แตกต่างกัน แน่นอนว่าหากเราไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของหมอ เราสามารถขอความเห็นที่ 2 จากหมอท่านอื่นๆ ได้ โดยไม่ได้เป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด แต่เราต้องมั่นใจว่า จะขอเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น คนไข้ส่วนมากรู้สึกว่าการมีโอกาสได้ตรวจกับหมออาวุโส หรือหมอที่เป็นหัวหน้าแผนก หรือ “หมอใหญ่” จะมีความสนใจในทักษะและประสบการณ์ที่น่าจะมีมาก แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าบางทีหมอใหญ่ ก็อาจมีเวลาน้อย ไม่ค่อยได้พูดคุยแนะนำคนไข้ และบางครั้งอาจจะมีอาการหลงลืมได้บ้างเหมือนกัน
5. หมอผ่าตัดผู้หญิง หมอสูติผู้ชาย
เรื่องนี้ในฐานะแพทย์ขอยืนยันเป็นพยานได้ว่า หมอผู้ชายหรือหมอผู้หญิงไม่ค่อยมีความแตกต่างกับจริงๆ หมอผุ้หญิงอาจมีความแข็งแรงทางสรีระน้อยกว่าผู้ชาย แต่อย่าลืมว่าการรักษาหรือการผ่าตัดมิใช่การแบกกระสอบข้าวสาร ดังนั้นหมอผู้หญิงจึงแกร่งไม่น้อยกว่าหมอผู้ชาย ส่วนสุภาพสตรีที่อายหมอโดยเฉพาะหมอสูติผู้ชาย ต้องเลือกตรวจเฉพาะหมอสูติผู้หญิง ซึ่งอาจมีน้อยและต้องรอนาน โปรดรับทราบและเข้าใจตรงกันว่า คุณหมอสูติที่เป็นผู้ชายท่านเห็นมาจนเบื่อแล้ว ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ เวลาตรวจภายในคุณสุภาพสตรีเลย เพราะฉะนั้นจงทำใจให้สบายๆ อย่าเขินหมอแล้วหมอจะได้ไม่เขินคุณด้วย
6. หมอรวยอยู่แล้ว กลัวอะไรกับการโดนฟ้อง
คนละเรื่องกันเลยนะครับ หมอทุกคนกลัวโดนฟ้องทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีหมอคนไหนมีเจตนาร้าย ทำร้ายให้คนไข้เจ็บตัว เจ็บฟรีหรือมีภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะถ้าคนไข้ต้องเสียชีวิตจากการรักษาเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของหมอทุกคน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เล่นๆ แน่นอน ความผิดพลาดส่วนใหญ่มักเกิดจากความผิดพลาดที่อาจเกิดได้ในฐานะปุถุชนธรรมดา มิได้เกิดจากเจตนาที่ไม่ดีหรือโอกาสโดยความตั้งใจ เวลาที่มีผู้ป่วยร้องเรียนยังมิได้ถูกฟ้องร้องหรอก หมอส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเท่าไร เลยพลอยทำให้คนไข้จำนวนหนึ่งอาจได้รับผลกระทบตามไปด้วยเป็นลูกโซ่
ส่วนที่ว่าหมอรวยอยู่แล้วก็ไม่จริงนะครับ โดยเฉลี่ยแล้วหมอเป็นอาชีพที่มีฐานะมั่นคง เพราะมีงานการเป็นหลักเป็นแหล่งมั่นคง ทำงานตั้งแต่เพิ่งเรียนจบและมีลักษณะนิสัยค่อนข้างขยันอยู่แล้ว จึงทำให้ภาพรวมของหมอจึงมีฐานะดีกว่าอาชีพโดยทั่วไป แต่หมอที่ร่ำรวยจากการรักษาเปิดคลินิก เปิดโรงพยาบาลก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าความร่ำรวยนั้นมาจากการทำธุรกิจมิใช่จากความเป็นหมอแต่อย่างใด หมอที่ร่ำรวยมากๆ ในปัจจุบันก็มักเป็นเพราะทำธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์มากกว่า
7. อะไรกัน! คุณหมอป่วยได้ด้วยเหรอ?
ได้ซิครับ หมอก็เป็นคนธรรมดา เป็นหวัด เป็นไข้ ตาแดง ท้องเสียได้เหมือนทุกคนแหละครับ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลมีเชื้อโรคแปลกๆ แตกต่างมากมาย บางทีหมอก็พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง โอกาสไม่สบายก็มีมาก หมอส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาหรือแม้มีก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย โรคที่หมอเป็นกันมากที่สุด คือ โรคหัวใจและหลอดเลือดเหมือนกัน อายุขัยโดยเฉลี่ยของหมอไทยค่อนข้างต่ำกว่าอายุไขเฉลี่ยของคนไทยนะครับ ใครที่ไปยืนแอบสูบบุหรี่ในโรงพยาบาล คุณจะมีโอกาสได้เจอพวกหมอยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ กัน
7 เกร็ดความจริงที่หลายคนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณหมอมาโดยตลอด หรืออาจจะรู้อยู่แล้วหลงลืมไป หวังว่าคงเป็นความจริงที่จะช่วยสานความเข้าใจระหว่างคนไข้-หมอได้ดียิ่งขึ้น ความสัมพันธ์จะได้กลับมาเป็นความสัมพันธ์แบบน่ารักๆ เหมือนอย่างในสมัยก่อน หรืออย่างน้อยเวลาไปโรงพยาบาล แล้วได้รับการรักษาที่ไม่ประทับใจ ก็ลองนึกถึงเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่เล่าให้ฟังวันนี้ อาจพอทำให้ “โกรธหมอ” น้อยลงได้บ้าง
ที่มา : รศ.นพ.คมกริช ฐานิสโร
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีร่วมรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง
รพ.วัฒโนสถ และการรักษาโรคผ่านหลอดเลือด รพ.หัวใจกรุงเทพ
อ้างอิง http://www.bangkokhealth.com